วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ร.ฟ.ท.ลดสเป็กทีโออาร์-จับตารับเหมาฟันราคารถไฟฟ้าสีแดง

ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3907


เปิดเงื่อนไขทีโออาร์รถไฟฟ้าสายสีแดง วงการฮือฮาก๊อบปี้เงื่อนไขประมูลรถไฟรางคู่ไปแหลมฉบัง เผยลดสเป็กเปิดทางรับเหมารายเล็ก รายกลางฟันราคาสู้ระดับบิ๊ก ลดเพดานเงินทุนจดทะเบียนเหลือแค่ 500 ล้านบาท วงในชี้งานนี้ฝุ่นตลบ เหตุจากรับเหมาทั้งระบบกำลังตกเป็นเสือลำบากขาดงานป้อน แห่ยื่นซองแย่งเค้ก 1.3 หมื่นล้านมันหยดแน่


นายนคร จันทศร รองผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ร่างทีโออาร์เปิดประกวดราคาโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน (หรือรถไฟฟ้าชานเมือง) ระยะทาง 15 กิโลเมตร วงเงินก่อสร้าง 13,000 ล้านบาท ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยรายละเอียดเงื่อนไขต่างๆ จะเหมือนกับทีโออาร์โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ สายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-ศรีราชา-แหลมฉบัง วงเงินก่อสร้าง 5,850 ล้านบาท จะแตกต่างกันเฉพาะในส่วนของเนื้องาน ซึ่งสายสีแดงจะมีเพียงแค่งานโยธาและระบบราง ส่วนรถไฟทางคู่จะมีทั้งงานโยธา งานราง พร้อมงานติดตั้งระบบอาณัติ สัญญาณ

"ที่ต้องกำหนดเงื่อนไขให้เหมือนกัน เพราะไม่อยากให้เกิดข้อครหาว่ามีการล็อกสเป็ก ทั้งที่งานมีลักษณะคล้ายๆ กัน ถึงแม้ว่าจะต่างกันที่วงเงินก็ตาม แต่รถไฟฟ้าสายสีแดงจะเน้นผลงานที่เป็นทางยกระดับ งานสะพาน และงานถนนเป็นหลัก เพราะถือว่าเป็นจุดสำคัญของการก่อสร้าง ขณะที่รถไฟทางคู่เน้นระบบอาณัติสัญญาณ"

นายนครกล่าวว่า การกำหนดคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ที่จะเสนอราคา จะเปิดกว้าง ไม่กำหนดคุณสมบัติสูงมากเกินไป เพื่อให้รับเหมาไทยมีสิทธิ์เข้ามาเสนอราคาได้มากขึ้น อีกทั้งเป็นการสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ผู้รับเหมาเข้ามายื่นเอกสารประกวดราคากันมากๆ เพื่อให้เกิดการแข่งขัน

อาทิ ผู้รับเหมาที่สนใจจะมายื่นซองประกวดราคา จะต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางคณะกรรมการร่างทีโออาร์กำลังพิจารณาว่าจะปรับลดทุนจดทะเบียนลงอีกหรือไม่ เนื่องจากโครงการรถไฟรางคู่หลังจากที่ประกาศในเว็บไซต์มีการร้องเรียนให้ปรับลดวงเงินทุนจดทะเบียนลงอีก โดยระบุว่าวงเงินที่ ร.ฟ.ท.กำหนดนั้นสูงเกินไป โดยจะปรับลดลงเหลือ 300 ล้านบาท ซึ่งกำลังรอให้ทีโออาร์ของรถไฟทางคู่ได้ข้อสรุป ในบางส่วนของสายสีแดงอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนบ้างเล็กน้อย เพื่อไม่ให้แตกต่างกันมาก

นอกจากนี้ต้องมีผลงานก่อสร้างถนน สะพาน ทางลอด ทางยกระดับ ที่มีมูลค่าก่อสร้างในสัญญาเดียวไม่น้อยกว่า 400 ล้านบาท มีผลงานระบบรางที่มีมูลค่าในสัญญาเดียวไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท มีผลงานก่อสร้างโครงสร้างอาคารสถานี ที่มีมูลค่าในสัญญาเดียวไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งผลงานดังกล่าวจะต้องแล้วเสร็จเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี นับถึงวันที่ยื่นซอง ผู้รับเหมาที่จะมายื่นจะมาเป็นในรูปแบบร่วมทุนหรือเป็นบริษัทเดี่ยวๆ ก็ได้ เป็นต้น

"หากมีการปรับลดวงเงินทุนจดทะเบียนลงมา จะทำให้ผู้รับเหมารายกลางและรายเล็กมีสิทธิ์เข้ามาเสนอราคามากขึ้นกว่าเดิม เพราะเราไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้รับเหมาที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงการคลัง จำนวน 60 รายเท่านั้น แต่เปิดกว้างให้กับผู้รับเหมาจากหน่วยงานอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นกรมทางหลวง กทม. ฯลฯ คาดว่าจะมีผู้รับเหมาเข้าร่วมเสนอราคาโครงการนี้ 10-20 รายขึ้นไป"

นายนครกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ร.ฟ.ท.ไม่อยากให้ผู้รับเหมาเข้ามาเสนอราคามากเกินไป เนื่องจากจะทำให้ควบคุมลำบาก เพราะจะเกิดการแข่งขันสูง และอาจจะมีผู้รับเหมาบางรายฟันราคา สุดท้ายจะได้บริษัทที่มีสายป่านทางการเงินไม่ดีเกิดการทิ้งงานภายหลังได้ นอกจากนี้อาจจะมีผลกระทบต่อการดำเนินงาน ทำให้การทำงานยากขึ้น ส่งผลให้งานล่าช้าออกไป แทนที่จะมีการเซ็นสัญญาก่อสร้างโดยเร็ว เพราะต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณาข้อเสนอของแต่ละราย

"เราจะประกาศร่างทีโออาร์ลงในเว็บไซต์ปลายเดือนกรกฎาคม เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ หลังจากนั้นจะให้เอกชนยื่นข้อเสนอเดือนสิงหาคม ตัดสินเดือนพฤศจิกายน เซ็นสัญญาเดือนธันวาคม และเริ่มก่อสร้างเดือนมกราคมปีหน้า"

ด้านแหล่งข่าวจากวงการผู้รับเหมาก่อสร้างกล่าวว่า ตอนนี้ในวงการรับเหมาคึกคักเป็นพิเศษ เพราะมีงานใหญ่ของการรถไฟฯเปิดประมูล ทั้งรถไฟฟ้าสายสีแดง และรถไฟทางคู่ เนื่องจากปัจจุบันงานในส่วนของภาครัฐมีค่อนข้างน้อย ไม่เหมือนที่ผ่านมาที่ผู้รับเหมามีงานประมูลมาก

"เมื่อไม่ค่อยมีงาน ผู้รับเหมาทั้งรายเล็ก รายกลาง รายใหญ่ ก็เปรียบเหมือนกับเสือหิว งานอะไรมีเข้ามาทุกรายจะยื่นประกวดราคาหมด เพื่อให้ได้งานมาต่อสายป่าน โดยไม่สนใจว่าอาจต้องไปฟันงาน และเกิดปัญหาทิ้งงานตามมา แค่ขอให้มีเงินมาเลี้ยงบริษัทให้อยู่รอด"

ยิ่งปัจจุบันหน่วยงานหลักอย่างงานกรมทาง หลวง ที่ในแต่ละปีจะมีงานประมูลหลายหมื่นล้านบาทลดน้อยลงมาก อย่างปีงบประมาณ 2550 มีงานใหม่แค่ 1,500 ล้านบาท และสิ้นเดือนมิถุนายนนี้จะต้องมีการเปิดประมูลให้หมด ผู้รับเหมาจึงต้องรองานใหม่ในปีงบประมาณ 2551 ในช่วงเวลาที่เหลืออีกนานหลายเดือน เพราะกว่าจะเปิดประกวดราคาก็คงประมาณเดือนเมษายน-พฤษภาคมปีหน้า ที่สำคัญไม่รู้ว่าจะมีงานใหม่กี่โครงการด้วย

"ตอนนี้ผู้รับเหมากรมทางหลวงแห่ไปซื้อซองประมูลของ กทม.กันเยอะมาก แต่ละงาน 20-30 ราย ทั้งที่งานมูลค่าไม่กี่ร้อยล้านบาท ในส่วนของสายสีแดง คาดว่าจะเกิดปรากฏการณ์ในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน คือ มีผู้รับเหมาทั้งรายใหญ่ รายกลาง และรายเล็ก แห่ไปซื้อซองประกวดราคาแข่งกันดุเดือดแน่ เพราะเป็นโครงการใหญ่ มูลค่าสูง และทีโออาร์ค่อนข้างเปิดกว้าง นอกจากนี้งานก่อสร้างไม่ค่อยยุ่งยากซับซ้อน"

แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า คาดว่าจะมีผู้รับเหมา ยื่นซองประมูลรถไฟฟ้าสายสีแดงอย่างน้อยเป็น 10 รายขึ้นไป โดยเฉพาะขาประจำ อาทิ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด บริษัท เอ.เอส. แอสโซซิเอท จำกัด เป็นต้น ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาสูง และอาจได้เห็นผู้รับเหมาฟันราคากันหนัก เพราะงานใหญ่ขนาดนี้ไม่ค่อยมีแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น